Blogger: เลือกย่อเนื้อหาบทความเฉพาะอันที่ต้องการ


ถ้าต้องการให้บทความบล็อกมีการย่อเนื้อหาสั้นลงแค่เพียงเฉพาะอันที่เราเลือกไว้ แต่ให้บทความอื่นๆ ในบล็อกเดียวกันยังแสดงผลแบบเดิม ก็สามารถทำได้ด้วยคำสั่งแทรกการข้าม (Insert jump break) ที่มีอยู่ในเมนูด้านบนของการเขียนบทความแต่ละอัน

ขั้นตอนที่ 1. ไปที่ส่วน "เขียน" ของบทความซึ่งต้องการย่อให้สั้นลง

ขั้นตอนที่ 2. เลือกตรงตำแหน่งบริเวณข้างใต้เนื้อหาที่ต้องการแบ่งส่วนไว้ให้ผู้อ่านมองเห็น จากนั้นกดที่ปุ่ม "แทรกการข้าม" ที่มีลักษณะเป็นไอคอนรูปกระดาษขาดกลางในเมนูด้านบน แล้วสังเกตว่าจะมีสัญลักษณ์การข้ามแบบในภาพข้างล่างนี้ปรากฏขึ้นมาบนเนื้อหา


ขั้นตอนที่ 3. กดปุ่ม "เผยแพร่บทความ" ก็เสร็จแล้ว

หลังจากนั้นเมื่อเข้าไปดูที่บล็อกจะพบว่าเนื้อหาที่อยู่ใต้สัญลักษณ์การข้ามของบทความอันนี้จะถูกซ่อนไว้ โดยถ้าหากผู้ที่เข้าชมบล็อกจะอ่านเนื้อหาทั้งหมดแบบเต็มๆ ก็ต้องกดเลือกคำสั่งอ่านเพิ่มเติมจึงจะมองเห็นเนื้อหาบทความทั้งหมดได้

Google Sites: เก็บไฟล์ด้วยหน้าเว็บตู้เก็บเอกสาร

หากต้องการหาที่ฝากไฟล์แบบฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย รวมทั้งมีเมนูควบคุมที่ใช้งานสะดวกเป็นภาษาไทย ก็สามารถทำได้ด้วยการสร้างหน้าอัปโหลดไฟล์ไว้ใน Google Sites ซึ่งแค่มีบัญชี Gmail ก็สมัครได้แล้ว

โดยสามารถลองดูตัวอย่างหน้าเว็บแบบ "ตู้เก็บเอกสาร" ได้จากลิงก์นี้ http://sites.maxlayout.com/upload/flash/ โดยนี่เป็นหน้าเว็บที่ผมเอาไว้ใช้ฝากไฟล์แฟลช


ในตามปกตินั้นหน้าเว็บที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วย Google Sites ก็จะมีตัวเลือก "ไฟล์แนบ" อยู่บริเวณส่วนท้ายของแต่ละหน้า สำหรับใช้อัปโหลดไฟล์ต่างๆ ขึ้นมาเก็บไว้ในเว็บไซต์เหมือนในภาพด้านล่างนี้อยู่แล้ว

ตัวอย่างการใช้ไฟล์แนบบริเวณส่วนท้ายของแต่ละหน้า


แต่ว่าการใช้ตัวเลือก "ไฟล์แนบ" นั้นจะมีเมนูสำหรับจัดการไฟล์น้อยกว่า เมื่อเทียบกับการสร้างหน้าเว็บให้เป็นแบบ "ตู้เก็บเอกสาร" ซึ่งมีเมนูตัวเลือกเพิ่มขึ้นมาให้ใช้งานหลายชนิดได้แก่
  • สามารถใส่คำอธิบายเกี่ยวกับไฟล์แต่ละอันลงไปได้ในตัวเลือก "เพิ่มไฟล์"
  • จัดไฟล์ที่เก็บไว้ให้เป็นกลุ่มโฟลเดอร์เมื่อใช้ตัวเลือก "ย้ายไปที่"
  • ลบไฟล์ทิ้งพร้อมกันทีละหลายๆ ไฟล์จากตัวเลือก "ลบ"
  • มีปุ่ม "สมัครรับการเปลี่ยนแปลง" เพื่อแจ้งเตือนสมาชิกให้รู้ว่ามีการแก้ไขข้อมูล

ตัวอย่างเมนูของหน้าเว็บแบบตู้เก็บเอกสาร


โดยการสร้างหน้าเว็บแบบ "ตู้เก็บเอกสาร" ก็ทำได้ง่ายๆ ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1. ลงชื่อเข้าสู่ระบบ Google Sites แล้วก็เลือกเข้าไปในเว็บไซต์อันที่ต้องการ จากนั้นกดที่ปุ่ม "สร้างหน้าเว็บ"


ขั้นตอนที่ 2. เลือกแม่แบบให้เป็น "ตู้เก็บเอกสาร"


ขั้นตอนที่ 3. ตั้งชื่อให้หน้าเว็บนี้
ขั้นตอนที่ 4. เลือกตำแหน่งการวางหน้าเว็บว่าให้อยู่ตรงไหน
ขั้นตอนที่ 5. กดปุ่ม "สร้างหน้าเว็บ" จากนั้นก็เริ่มอัปโหลดไฟล์ได้เลย

Google Sites: บริการเว็บฟรีที่กูเกิลไซต์

กูเกิลไซต์ (Google Sites) เป็นบริการให้สร้างเว็บไว้ใช้ได้ฟรีของ Google ซึ่งมีพื้นที่เก็บข้อมูลของไซต์ให้ใช้งานถึง 100 เมกะไบต์ สามารถสร้างได้ง่ายๆ ดังนี้

ขั้นตอนที่ 1. เข้าไปที่ https://sites.google.com/ แล้วพิมพ์ชื่อและรหัสของบัญชี Google หรือ Gmail ที่สมัครไว้ลงไป จากนั้นกดที่ "ลงชื่อเข้าใช้งาน"


ขั้นตอนที่ 2. เลือกที่ปุ่ม "สร้างเว็บไซต์" เข้าสู่หน้าฟอร์มสำหรับกำหนดข้อมูลของไซต์


ขั้นตอนที่ 3. เลือกแม่แบบที่จะใช้ เพื่อเลือกว่าต้องการให้เว็บไซต์มีหน้าตาแบบใด ซึ่งสามารถดูแม่แบบเพิ่มเติมได้โดยกดที่ "เลือกดูเพิ่มเติมในแกลเลอรี่" ที่อยู่ทางด้านขวาของเมนูแม่แบบ


ขั้นตอนที่ 4. ตั้งชื่อให้เว็บไซต์ของคุณ (สามารถเปลี่ยนชื่อได้ในภายหลัง)

ขั้นตอนที่ 5. เลือกตำแหน่ง URL ที่ตั้งบนอินเตอร์เน็ตให้กับไซต์เว็บไซต์ของคุณ
ซึ่งตามปกติแล้วถ้าหากคุณพิมพ์ตั้งชื่อให้กับเว็บไซต์ตามขั้นตอนที่ 4 ก็จะทำให้ URL ในช่องนี้ถูกกำหนดให้เหมือนชื่อนั้นโดยอัตโนมัติ แต่หากว่ามีคนอื่นที่ได้สร้างเว็บไซต์ด้วย URL อันนี้ไปแล้วจะทำให้เว็บไซต์นี้ไม่สามารถสร้างขึ้นได้ โดยระบบจะบอกว่า "ตำแหน่งที่คุณเลือกไม่สามารถใช้งานได้" ดังนั้นก็ต้องพิมพ์ URL อันใหม่ที่ไม่ซ้ำกับ URL ของผู้อื่นใส่ลงไปในช่องนี้แทนเช่น ใส่หมายเลขเพิ่มลงไปด้านท้ายชื่อ จึงจะสามารถสร้างเว็บไซต์ขึ้นมาได้

ขั้นตอนที่ 6. พิมพ์รหัสอักขระที่ถูกแสดงไว้ลงในช่องข้างๆ

ขั้นตอนที่ 7. กดที่ปุ่ม "สร้างเว็บไซต์ " แล้วระบบก็จะนำเราเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ที่ทำไว้เหมือนด้านล่างนี้ซึ่งสามารถกำหนดเนื้อหาได้ตามต้องการ

อธิบายเพิ่มเติม
การเปลี่ยนแปลงชื่อ เค้าโครงหรือลักษณะของไซต์ทำได้ง่ายๆ โดยเลือกที่
การทำงานเพิ่มเติม > จัดการไซต์
เช่น ถ้าจะเปลี่ยนชื่อของเว็บไซต์ก็ทำได้โดยเลือกที่เมนู "ทั่วไป" แล้วพิมพ์ชื่อใหม่ที่ต้องการลงไปในช่อง "ชื่อไซต์" จากนั้นกดที่ปุ่ม "บันทึกการเปลี่ยนแปลง" ก็เสร็จแล้ว

Safari: เปลี่ยนการเข้ารหัสภาษาในหน้าเว็บ

เวลาที่ใช้โปรแกรม Safari เข้าเว็บบางแห่งแล้วพบว่าตัวอักษรที่แสดงอยู่ในหน้านั้นไม่สามารถอ่านได้ เนื่องจากกลายเป็นภาษาต่างดาว จะสามารถแก้ไขได้โดยใช้วิธีเปลี่ยนการเข้ารหัสภาษาในหน้าเว็บ (Change Text Encoding) โดยให้เข้าไปที่
display a menu for the current page > Text Encoding
แล้วเลือกภาษาที่เข้ารหัสใหม่ให้ตรงกับเว็บหน้านั้นเหมือนกับภาพด้านล่างนี้

Photoshop: ภาพขอบหยัก (Distort Ripple Frame)



ขั้นตอนที่ 1.
เปิดไฟล์ภาพที่ต้องการขึ้นมา จากนั้นกดปุ่ม <Ctrl+A> บนคีย์บอร์ดเพื่อสร้าง Selection



ขั้นตอนที่ 2.
คลิกเมนู 'Select > Modify > Contract...'
แล้วใส่ขนาดกรอบรูปลงไปในช่อง 'Contract By'
โดยในตัวอย่างนี้ให้ Contract = 22



ขั้นตอนที่ 3.
คลิกปุ่ม 'Edit in Quick Mask Mode' เพื่อทำงานในโหมด 'Quick Mask Mode'



ขั้นตอนที่ 4.
คลิกเมนู 'Filter > Distort > Ripple...' จากนั้นตั้งค่า
Amount = 250%
Size = Large
โดยยิ่งใส่ค่า Amout สูงจะทำให้ขอบรูปมีความหยักมาก



ขั้นตอนที่ 5.
คลิกปุ่ม 'Edit in Standard Mode' เพื่อกลับไปทำงานใน 'Quick Standard Mode' หรือโหมดปกติ



ขั้นตอนที่ 6.
คลิกปุ่ม 'Select > Inverse' เพื่อกลับด้าน Selection
แล้วสร้างเลเยอร์ขึ้นใหม่หนึ่งอันโดยวางไว้อยู่เหนือเลเยอร์รูปภาพ



ขั้นตอนที่ 7.
เทสีขาวลงไปในเลเยอร์ขึ้นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่
จากนั้นกดปุ่ม <Ctrl+D> บนคีย์บอร์ดเพื่อสั่ง 'Deselect' ก็เสร็จแล้ว

Photoshop: ภาพขอบฟุ้ง (Feather Frame)



ขั้นตอนที่ 1. เปิดไฟล์ภาพที่ต้องการขึ้นมา จากนั้นกดปุ่ม <Ctrl+A> บนคีย์บอร์ดเพื่อสร้าง Selection



ขั้นตอนที่ 2. คลิกเมนู 'Select > Modify > Contract...'
แล้วใส่ขนาดกรอบรูปลงไปในช่อง 'Contract By'



ขั้นตอนที่ 3. คลิกเมนู 'Select > Modify > Feather' หรือจะกดปุ่ม <Alt+Ctrl+D> บนคีย์บอร์ดแทนก็ได้
แล้วใส่ระยะความฟุ้งตามต้องการลงในช่อง 'Feather Radius'



ขั้นตอนที่ 4.  คลิกเมนู 'Select > Inverse' เพื่อกลับด้าน Selection
แล้วสั่งสร้างเลเยอร์เพิ่มขึ้นใหม่อีกหนึ่งอันโดยวางไว้อยู่เหนือเลเยอร์รูปภาพ



ขั้นตอนที่ 5.  เทสีของกรอบรูปที่ต้องการใส่ลงไปในเลเยอร์ที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้านบน
จากนั้นค่อยกดปุ่ม <Ctrl+D> บนคีย์บอร์ดเพื่อสั่ง Deselect ก็เสร็จแล้ว

Photoshop: ใส่กรอบรูปด้วย Canvas


ขั้นตอนที่ 1. เปิดไฟล์ภาพที่ต้องการขึ้นมา


ขั้นตอนที่ 2. ไปที่แถบเมนูด้านบนแล้วเลือกที่ 'Image > Canvas Size...'


ขั้นตอนที่ 3. เลือกลูกศรในช่อง 'Relative'


ขั้นตอนที่ 4. กำหนดขนาดกรอบที่ต้องการ ทั้งแนวนอน (Width) และแนวตั้ง (Height) ซึ่งกรอบจะถูกใส่เข้าในทั้งสองด้านของแต่ละแนวด้วยระยะที่เท่ากัน

ขั้นตอนที่ 5. เลือกสีของกรอบรูป